• เลือกขนาด BTU ที่เหมาะสม เนื่องจากขนาด BTU (British Thermal Unit) เป็นขนาดทำความเย็นของแอร์ ดังนั้นควรเลือกขนาดของแอร์กับขนาดของห้องให้พอดีกัน เพราะหากเลือกแอร์ที่มี BTU สูงหรือต่ำจนเกินไปจะทำให้เปลืองไฟและแอร์เสียง่าย
• ควรเลือกคอมเพรสเซอร์ที่เหมาะสมกับความต้องการ อาทิ คอมเพรสเซอร์ลูกสูบ (Reciprocating Compressor) ทำงานด้วยการใช้กระบอกสูบในการอัดน้ำยา กำลังแรงสูง มีความสั่นสะเทือนสูง และเสียงค่อนข้างดัง คอมเพรสเซอร์โรตารี่ (Rotary Compressor) ทำงานด้วยการหมุนของใบพัดที่มีความเร็วสูง มีความสั่นสะเทือนน้อย เสียงเงียบ หรือคอมเพรสเซอร์แบบขด (Scroll Compressor) ทำงานด้วยใบพัดรูปก้นหอย สั่นสะเทือนน้อย เสียงเงียบ ให้พลังงานสูง
• คอยล์ (Coil) อุปกรณ์สำหรับระบายและดูดซับความร้อนจากอากาศ ประกอบด้วยท่อทองแดงและครีบอะลูมิเนียม (Fin) ดังนั้นก่อนเลือกซื้อให้พิจารณาวัสดุที่ใช้ทำคอยล์ อาทิ สารเคลือบป้องกันการกัดกร่อน หรือความหนาของครีบ เพื่อให้คุณได้คอยล์ที่มีคุณภาพดีและมีอายุการใช้งานได้นาน
• มอเตอร์พัดลม (Fan Motor) ช่วยระบายและดูดซับความร้อน เพื่อให้แอร์ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มอเตอร์พัดลมที่ดีควรใช้ขดลวดที่ทนความร้อนได้สูง ช่วยให้รอบการทำงานของมอเตอร์ไม่สะดุดและไม่เสื่อมคุณภาพ ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อแอร์ควรสอบถามข้อมูลของมอเตอร์พัดลมให้ละเอียด
• ระบบฟอกอากาศ (Air Purifier) เป็นปัจจัยที่ขาดไม่ได้เลย ช่วยหมุนเวียนให้อากาศภายในห้องสะอาดมากขึ้น ควรเลือกแอร์ที่มีระบบกรองอากาศดักจับฝุ่นตั้งแต่ PM 1.0 พร้อมกำจัดแบคทีเรียได้ถึง 99.9%** ตั้งแต่ชั้นแรก เพื่อช่วยลดการเกิดสารก่อภูมิแพ้
• เลือกแอร์ประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นแอร์ที่มีประสิทธิภาพในการให้พลังงานสูง ทำให้ประหยัดไฟฟ้า ก่อนเลือกซื้อควรศึกษาฉลากประหยัดไฟให้ดีก่อนตัดสินใจว่าเหมาะสมกับความต้องการของคุณหรือไม่
• ก่อนซื้อแอร์สักเครื่อควรเปรียบเทียบคุณสมบัติพิเศษต่าง ๆ ว่ามีข้อดี-ข้อจำกัดแตกต่างกันอย่างไร และอย่าลืมเลือกรูปลักษณ์ของแอร์ในแบบที่คุณชอบ หรือเลือกให้เข้ากับห้องนั้น ๆ
• การติดตั้งและการบริการหลังการขายเป็นอีกปัจจัยที่ควรเอาไปพิจารณา ควรเลือกบริษัทที่น่าเชื่อถือ มีความรู้ความเข้าใจและสามารถอธิบายเรื่องแอร์ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังมีการรับประกันและการดูแลซ่อมแซมแก้ไขหลังการขาย ช่วยให้คุณหมดกังกลให้ระหว่างใช้งานแอร์เกิดความผิดปกติ